clock OPEN: 10.00 AM – 8.00 PM

OUR SERVICESจัดฟัน

รวมทุกข้อควรรู้ การจัดฟันคืออะไร มีทั้งหมดกี่แบบ หลังจัดฟันแล้วควรดูแลตัวเองอย่างไร

การจัดฟัน เป็นหนึ่งในหัตถการด้านทันตกรรมที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันเรียงตัวไม่สวยงาม ฟันยื่น ฟันเก ฟันห่าง รวมไปถึงผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร เพื่อให้ฟันกลับมาเรียงตัวสวยสุขภาพดี และสามารถกินอาหารได้อร่อยอีกครั้งหนึ่ง

หลาย ๆ คนมักมีเรื่องกังวลใจเกี่ยวกับการจัดฟันว่า ปัญหาฟันแบบไหนที่ควรจัดฟันบ้าง การจัดฟันมีให้เลือกกี่แบบ แล้วเราต้องดูแลตัวเองอย่างไรหลังการจัดฟัน เนื่องจากการจัดฟันเป็นหัตถการที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน ต้องมีวินัยค่อนข้างสูง ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยเลยทีเดียว จึงทำให้หลาย ๆ คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับฟันรู้สึกลังเลใจว่าควรจัดฟันดีไหม The Tooth Club จึงอยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจการจัดฟันไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้ เพื่อให้คนไข้ที่กำลังกังวลใจ นำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

การจัดฟัน คืออะไร

การจัดฟัน (Orthodontic Treatment) เป็นหนึ่งในทันตกรรมเพื่อความงาม (Cosmetic Dentistry) ที่ทันตแพทย์จะวิเคราะห์ วินิจฉัย และวางแผนการรักษาฟันที่มีปัญหา มีการเรียงตัวผิดปกติ เพื่อให้ฟันกลับมาบดเคี้ยวอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกครั้ง ลดปัญหาฟันสึก ฟันผุ ให้ฟันสามารถสบกันได้ดีขึ้น ลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือก และความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมไปถึงช่วยเพิ่มความมั่นใจ เสริมสร้างบุคลิกภาพ และมอบรอยยิ้มที่สวยงามกลับมาให้เราอีกครั้ง โดยทันตแพทย์จะพิจารณาเลือกใช้เครื่องมือในการจัดฟันตามความเหมาะสมของปัญหาฟันในแต่ละเคส

ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่ แต่เด็กก็สามารถจัดฟันได้เช่นกัน

การจัดฟันเด็ก สามารถทำได้ในกรณีที่เด็กมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน โดยส่วนใหญ่เป็นการแก้ไขปัญหาฟันเบื้องต้นตั้งแต่ชุดฟันน้ำนม หรือชุดฟันผสม เหมาะสำหรับเด็กที่มีการสบฟันผิดปกติ เคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียดเท่าที่ควร มีฟันเก ฟันยื่น ฟันกัดเบี้ยว ฟันสบคร่อม และฟันสบลึก ให้ฟันกลับมาเรียงตัวสวยงาม บดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยช่วงอายุที่สามารถจัดฟันได้ เริ่มตั้งแต่ 4-5 ขวบในชุดฟันน้ำนม และอายุ 7-8 ขวบในชุดฟันผสม

การจัดฟันมีทั้งหมดกี่แบบ อะไรบ้าง

การจัดฟัน แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามเครื่องมือที่ใช้ดังต่อไปนี้

  • การจัดฟันแบบติดเครื่องมือ เป็นการจัดฟันที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือที่ทำด้วยโลหะติดลงไปที่ฟันเพื่อยึดฟันทั้งหมดให้เคลื่อนตัวกลับมาเรียงกันอย่างสวยงาม สามารถแบ่งประเภทเครื่องมือออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
    • จัดฟันแบบโลหะ (Metal Braces) เป็นการจัดฟันโดยใช้เครื่องมือแบบโลหะติดไว้ที่ผิวหน้าของฟัน ใส่ลวดผ่านร่อง Bracket แล้วใช้ยาง O-Ring รัดเครื่องมือจัดฟันให้ติดกับลวดไว้ เพื่อช่วยให้ฟันเคลื่อนตัวอย่างเป็นระเบียบสวยงาม การจัดฟันด้วยโลหะนี้พบเห็นได้บ่อยเพราะราคาไม่แพง ทั้งยังเปลี่ยนสียางให้สดใสได้ตามใจชอบ
    • จัดฟันแบบไม่รัดยาง (Self-ligating Braces) เป็นการจัดฟันด้วยนวัตกรรมใหม่ที่ผสานระหว่าง Self-Ligating Brackets และ Hi-Tech Arch Wires ไว้ด้วยกัน ช่วยให้ฟันเคลื่อนตัวเข้าที่ไวขึ้น วัสดุมีความเรียบลื่น ลดการระคายเคืองภายในช่องปากได้ดี ไม่ต้องมาพบทันตแพทย์ทุกเดือน ทั้งยังทำความสะอาดได้ง่าย ลดโอกาสเกิดฟันผุ หรือเหงือกอักเสบได้ สำหรับการจัดฟันแบบไม่รัดยาง แบ่งวัสดุที่ใช้ออกเป็น 2 ยี่ห้อ คือ Damon และ Speed Align ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์ว่าจะเลือกยี่ห้อไหนที่ตอบโจทย์ปัญหาฟันของเรามากที่สุด
  • การจัดฟันแบบไม่ติดเครื่องมือ เป็นการจัดฟันที่ใช้เครื่องมือแบบถอดได้ ไม่จำเป็นต้องติดอยู่บนตัวฟัน เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลรักษา และฟันเคลื่อนเข้าที่เรียงตัวสวยงาม แบ่งประเภทของเครื่องมือออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
    • จัดฟันใส (Invisalign) เป็นเทคโนโลยีจัดฟันที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เน้นความสวยงามเป็นหลัก เพราะตัวเครื่องมือทำจากแผ่นโพลิเมอร์ที่มีความโปร่งใส น้ำหนักเบา สวมใส่สะดวกไม่ก่อให้เกิดความรำคาญ สามารถถอดออกมาดูแลความสะอาดได้ง่าย ไม่ต้องมาพบทันตแพทย์บ่อย แต่ก็แลกมากับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการจัดฟันรูปแบบอื่น ๆ
    • จัดฟันใสราคาประหยัด (Align Plus) การจัดฟันแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันไม่มาก ไม่มีเวลามาพบทันตแพทย์บ่อย เน้นแก้ปัญหาฟันหน้าด้านบน และล่างที่เรียงตัวไม่สวย ไม่มีการถอนฟัน เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังใส่ประมาณ 1 เดือน ดูแลรักษาง่ายเพราะสามารถถอดมาทำความสะอาดได้ ไม่ส่งผลต่อการออกเสียง และไม่รบกวนการกินอาหาร

ใครบ้างที่ควรจัดฟัน

  • ผู้ที่มีฟันห่าง หรือฟันเรียงตัวไม่สวยงาม ส่งผลให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียดเท่าที่ควร
  • ผู้ที่มีฟันซ้อน ฟันยื่น ฟันเก ทำให้แปรงฟันไม่ทั่วถึง ส่งผลให้ฟันผุ หรือเหงือกอักเสบได้ง่าย
  • ผู้ที่ฟันล้ม หรือเอียง เนื่องจากถอนฟันทิ้งไว้นานโดยไม่ใส่ฟันปลอม
  • ผู้ที่มีขากรรไกรผิดรูป หรือฟันเทจากกันเนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ อาทิ ชอบดูดนิ้ว หรือมีการกลืนผิดปกติ
  • ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุจนทำให้ฟันล้มหรือเอียง จนต้องจัดฟัน
  • ผู้ที่มีปัญหาสบฟันไม่สนิท และทันตแพทย์พิจารณาว่าควรจัดฟัน

ทำไมหลังจัดฟันต้องใส่รีเทนเนอร์

เพราะรีเทนเนอร์ (Retainer) เป็นเครื่องมือสำหรับคงสภาพฟัน หลังจากเราจัดฟันเสร็จเรียบร้อนแล้วฟันจะยังไม่เข้าที่ดี จำเป็นต้องใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันที่จัดจนเรียงตัวสวยงามเป็นระเบียบแล้วให้คงอยู่กับที่ หากคนไข้ไม่ใส่รีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอ อาจส่งผลให้ฟันล้ม หรือฟันกลับไปเรียงตัวไม่สวยงามเหมือนเดิมได้

เมื่อฟันเคลื่อนตัวไปอยู่ในตำแหน่งใหม่ที่จัดไว้แล้ว กระดูก และเหงือกจะปรับโครงสร้างใหม่เพื่อรองรับฟันในตำแหน่งใหม่ เราก็อาจถอดรีเทนเนอร์ได้บ้างเป็นบางเวลา แต่ช่วงเดือนแรกของการถอดเครื่องมือจัดฟัน ทันตแพทย์จะเน้นย้ำให้ใส่รีเทนเนอร์ทุกวัน ตลอดทั้งวัน เป็นเวลา 1 ปี ป้องกันไม่ให้ฟันเคลื่อนที่ หลังจากครบ 1 ปี อาจใส่รีเทนเนอร์เฉพาะตอนนอนได้ เพื่อช่วยประคองฟันไม่ให้เคลื่อนที่ไปมากกว่านี้ แต่ทั้งนี้ระยะเวลาการใส่รีเทนเนอร์ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์ผู้ดูแลเคส

การขูดหินปูนช่วงจัดฟัน สำคัญอย่างไร

การขูดหินปูนช่วงจัดฟัน เป็นหนึ่งในขั้นตอนการเคลียร์ช่องปาก ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จำเป็นมาก เพราะการเคลียร์ช่องปาก เป็นการตรวจสอบสุขภาพฟันโดยรวม บันทึกปัญหาเหงือก และฟันของคนไข้โดยละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป โดยการเคลียร์ช่องปาก ประกอบไปด้วย

  • การขูดหินปูน (Dental Scaling) เพื่อขจัดคราบหินปูนต่าง ๆ ที่เกาะอยู่บริเวณฟัน และซอกฟันให้หลุดออก เป็นการลดคราบแบคทีเรียสะสมที่อาจก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา
  • การอุดฟัน (Tooth Filling) หากคนไข้มีฟันแตก บิ่น หัก หรือมีฟันผุ ทันตแพทย์จะรักษาด้วยการอุดฟันให้เรียบร้อยก่อน
  • การผ่าฟันคุด (Tooth Impaction Removal) เป็นการนำฟันคุดออก เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการจัดฟันได้ หากปล่อยไว้อาจทำให้แผนการจัดฟันล่าช้า รวมไปถึงผ่าฟันคุดได้ยากขึ้นตามไปด้วย

หลังจัดฟันแล้ว ต้องดูแลฟันอย่างไร

  • ควรเลือกใช้แปรงสีฟัน และยาสีฟันสำหรับจัดฟันโดยเฉพาะ เพื่อให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • เลือกใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ
  • ทำความสะอาดฟันหลังกินอาหารทุกครั้ง ด้วยแปรงสีฟัน และไหมขัดฟัน
  • ปฏิบัติตนตามที่ทันตแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด เช่น การใส่ยาง และใส่รีเทนเนอร์
  • ไม่ควรกินอาหารที่มีความแข็ง หรือเหนียวมาก เพราะอาจส่งผลกระทบต่อเครื่องมือจัดฟันได้
  • ไม่ควรกินของหวานจัด เพราะทำให้ดูแลฟันลำบากมากขึ้น เสี่ยงต่อฟันผุได้ง่าย
  • พบทันตแพทย์ตามนัดหมายทุกครั้ง และมาตรวจเช็คสภาพฟันทุก 6 เดือน

คำถามที่พบบ่อย

  • ต้องจัดฟันนานเท่าไหร่ ฟันจึงจะเข้าที่

ตอบ โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 1- 3 ปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาฟัน รวมไปถึงความร่วมมือของคนไข้ หากปฏิบัติตนตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด มาพบตามนัดสม่ำเสมอ ฟันก็จะเข้าที่ไว ระยะเวลาจัดฟันก็จะน้อยลงตามไปด้วย

  • ควรจัดฟันครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่

ตอบ โดยปกติฟันน้ำนมซี่สุดท้ายจะหลุดไปตอนอายุประมาณ 12 ปี หากมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ต้องการจัดฟัน และไม่มีปัญหาของกระดูกขากรรไกรเข้ามาเกี่ยวข้อง สามารถเริ่มช่วงเวลานี้ได้เลย เพราะช่วงวัยนี้กระดูกกราม และการเรียงตัวของฟันยังสามารถเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ต้องการได้ง่ายกว่าวัยผู้ใหญ่

  • การจัดฟันทำให้รูปหน้าเปลี่ยนจริงไหม

ตอบ มีส่วน เพราะการจัดฟันช่วยให้ฟันเรียงตัวอย่างสวยงาม ลดความยื่นอูมบริเวณปาก ทำให้ใบหน้าเข้ารูปสวยงามมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในบางกรณียังมีการถอนฟันร่วมด้วย เมื่อเราสูญเสียฟันบางซี่ไปย่อมส่งผลให้รูปหน้ามีการเปลี่ยนแปลง เช่น กรณีที่ถอนฟันบนอาจทำให้จมูกดูโด่งขึ้น หากเป็นฟันล่างจะทำให้คางดูชัดมากขึ้น ทั้งที่จมูก และคางยังเท่าเดิมนั่นเอง