clock OPEN: 10.00 AM – 8.00 PM

OUR SERVICESฟอกสีฟัน

Photo Credit: https://www.freepik.com/ by viktorialapshyna

รวมเรื่องต้องรู้ก่อน ฟอกสีฟัน ดีจริงไหม ราคาเท่าไหร่ ?

เมื่อการฟอกสีฟันได้รับความนิยมมากขึ้น แน่นอนเราก็ย่อมสนใจเป็นธรรมดา เพราะเมื่อฟันเราสีขาวสดใสดูสุขภาพดี ย่อมช่วยเสริมความมั่นใจ และทำให้บุคลิกภาพของเราดูดีขึ้นมาได้ แต่การฟอกสีฟันแท้จริงแล้วคืออะไร ดีจริงใช่ไหม ?

ปัจจุบันการ ฟอกสีฟัน ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะช่วยปรับบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้น และยังเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเราได้ เราจึงเห็นวัยรุ่น และคนวัยทำงานที่ต้องการมีรอยยิ้มสวยสดใส เป็นเจ้าของฟันขาวสะอาด ตัดสินใจไปฟอกสีฟันกันมากขึ้น แต่การฟอกสีฟันดีจริงอย่างที่เขาร่ำลือกันไหม การฟอกสีฟันคืออะไร ตอบโจทย์ปัญหาที่เราต้องการหรือเปล่า แล้วราคาฟอกสีฟันเท่าไหร่กันแน่ ใครที่กำลังวางแผนจะไปฟอกสีฟันแล้วเกิดคำถามเหล่านี้ขึ้นในใจ เรามีคำตอบมาให้ทุกคนกัน

ฟอกสีฟัน คืออะไร ? ช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้จริงไหม ?

ฟอกสีฟัน หรือ ฟอกฟันขาว (Teeth Whitening Treatment) คือ กระบวนการรักษาทางทันตกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาลักษณะของสีฟันที่ขุ่น หมอง ให้กลับมาขาวสว่างสดใสอย่างเป็นธรรมชาติอีกครั้ง ซึ่งการฟอกสีฟันกับทันตแพทย์ สามารถช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้จริง และยังเป็นหนึ่งในหัตถการที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการดูแลฟันด้วยวิธีอื่น ๆ ถือเป็นการดูแลรักษาสุขภาพฟันแบบ Dental One Day Solution ที่สามารถทำให้ฟันของเรานั้น กลับมาขาวสวยสะอาดได้ภายในวันเดียว

ใครบ้างที่เหมาะกับการ ฟอกสีฟัน

  • ผู้ที่ต้องใช้รอยยิ้มพูดคุย และติดต่อสื่อสารกับผู้คนอยู่เป็นประจำ
  • ผู้ที่มีฟันสีขุ่นหมอง ซึ่งเป็นสีฟันธรรมชาติ
  • ผู้ที่มีฟันเหลืองเนื่องจาก
    • สีของอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม เป็นต้น
    • กินอาหารรสจัดเป็นประจำ เช่น เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด
    • การสูบบุหรี่
    • ยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ Tetracycline และ Doxycycline เป็นต้น
  • ผู้ที่มีฟันสีคล้ำเนื่องจาก
    • เกิดการสะสมของสารเคมีที่มีสีข้างในเนื้อฟันในขณะที่ฟันถูกสร้างขึ้น
    • มีภาวะฟันตาย หรือภาวะ (Non-Vital Discoloration) ซึ่งอาจเกิดจากการได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุบริเวณฟัน ฟันผุ ฟันสึก ฟันร้าว หรือโรคปริทันต์ขั้นรุนแรง แล้วเกิดการติดเชื้อ แต่ไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี จนเซลล์ต่าง ๆ ในฟันตายไปในที่สุด

ใครบ้างที่ไม่ควรฟอกสีฟัน

  • หญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เพราะเหงือกและฟันของหญิงมีครรภ์ อาจมีความไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น และอาจทำให้ทารกในครรภ์ได้รับความเสี่ยงจากสารเคมี เช่น ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (hydrogen peroxide) หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ (carbamide peroxide) ที่อาจถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้
  • ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 16 ปี เนื่องจากฟันยังอยู่ในช่วงของการเจริญเติบโต อาจทำให้มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาหรือผลข้างเคียงจากการฟอกสีฟัน
  • ผู้ป่วยโรคเหงือก เช่น โรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) โรคปริทันต์ (Periodontitis) มีสุขภาพเหงือกที่แย่ลงกว่าเดิม และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง
  • ผู้ที่มีปัญหาเสียวฟัน ฟันผุ อุดฟัน หรือมีปัญหาอื่นๆ ในช่องปาก ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนทำการฟอกสีฟัน เพราะระหว่างทำอาจเสียวฟันมากกว่าปกติ แนะนำว่าควรรักษาฟัน และเหงือกให้อยู่ในสภาพปกติก่อนจะดีกว่า

ประเภทของการฟอกสีฟัน

การฟอกสีฟัน มีทั้งหมด 2 ประเภท คือ ฟอกโดยทันตแพทย์ และฟอกโดยตัวเองที่บ้าน ซึ่งแต่ละประเภทมีรายละเอียด ข้อแตกต่าง และข้อควรระวัง ดังนี้

การฟอกสีฟันโดยทันตแพทย์

  • การฟอกสีฟันด้วยแสง Cool Light (Cool Light Teeth Whitening) คือการปรับเนื้อฟันที่ดูเหลืองหรือหมองคล้ำ ให้ดูขาวสว่างขึ้นผ่านการทาน้ำยาที่มีส่วนผสมของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) แล้วยิงพลังงานแสงสีฟ้าเข้มข้น (Blue LED Light) หรือ “แสงเย็น” ลงไปที่เนื้อฟัน เพื่อกระตุ้นให้น้ำยาขจัดคราบฝังแน่นที่ทำให้สีฟันหมองคล้ำออกไปจนหมด
  • การฟอกสีฟันด้วยเลเซอร์ Diode คือการฟอกสีฟันที่ใช้แสงเลเซอร์ไดโอด (Diode Laser) มากระตุ้นให้น้ำยา ฟอกสีฟันแตกตัวแล้วซึมเข้าไปในผิวฟันได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยขจัดคราบ และเม็ดสีบนผิวฟันได้อย่างรวดเร็ว
  • การฟอกสีฟันด้วยแสง Zoom เป็นนวัตกรรมการฟอกสีฟันใหม่ล่าสุดจาก PHILIPS โดยใช้เทคโนโลยีแสงเย็น (Blue LED Light) ที่สามารถปรับความเข้มข้นของแสงได้ถึง 3 ระดับ ให้เหมาะกับสภาพสีฟันเดิมของแต่ละบุคคล ซึ่ง ZOOM มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาการเสียวฟันหลังการฟอกสีฟัน รวมถึงสามารถเห็นผลได้ทันที และทำให้ฟันขาวนานกว่าการฟอกสีฟันแบบอื่น ๆ
  • ฟอกสีฟันระบบ Pola เป็นการฟอกสีฟันโดยใช้น้ำยาฟอก Pola ของบริษัท SDI Limited ซึ่งผู้ผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านทันตกรรมต่างๆ จากประเทศออสเตรเลีย เป้นน้ำยาที่มีความเข้มข้นสูง เห็นผลทันทีหลังฟอก สามารถเลือกความเข้มข้นของน้ำยาให้เหมาะกับเฉดสีฟันได้ ไม่ต้องใช้แสงในการเร่งปฏิกิริยา และมีเทคโนโลยี Pola Desensitising Technology ที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน และการระคายเคืองได้ จึงมีความปลอดภัยสูง และให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้การฟอกสีฟันประเภทอื่น

ทั้งนี้ การเลือกวิธีฟอกสีฟันที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับสาเหตุ และระดับความเข้มของสีฟัน ซึ่งแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟอกสีฟันจะเป็นผู้ให้คำแนะนำ โดยพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับฟันของแต่ละคน

การฟอกสีฟันด้วยตัวเอง

  • Over-the-counter Bleaching คือการฟอกสีฟันที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน โดยสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ ที่มีจำหน่ายตามซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านขายยาทั่วไป เช่น ยาสีฟัน ฟอกฟันขาว เจล ฟอกฟันขาว น้ำยาบ้วนปาก ฟอกสีฟัน ปากกา ฟอกฟันขาว เป็นต้น
  • At-home Bleaching คือการ ฟอกสีฟัน ที่สามารถทำได้เองที่บ้าน แต่ต้องมาพบทันตแพทย์ก่อนในครั้งแรก เพื่อพิมพ์ปาก ทำถาด ฟอกสีฟัน เฉพาะบุคคล และรับน้ำยา ฟอกสีฟัน รวมถึงฟังคำแนะนำในการใช้จากทันตแพทย์
  • In-office assisted Bleaching คือการ ฟอกสีฟัน โดยทันตแพทย์ ร่วมกับการ ฟอกสีฟัน เองที่บ้าน สามารถทำได้ในกรณีที่ ฟันมีสีเข้มมาก โดยทันตแพทย์จะ ฟอกสีฟัน ให้ที่โรงพยาบาลก่อน หลังจากนั้นก็มอบอุปกรณ์พร้อมน้ำยา ฟอกสีฟัน ให้นำกลับไปทำต่อเองที่บ้านได้

เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาทันตแพทย์ ก่อนทำการฟอกสีฟันด้วยตัวเองที่บ้าน หรือทางที่ดีที่สุด คือ เข้ารับการฟอกสีฟันกับทันตแพทย์โดยตรง เพื่อผลลัพธ์ที่สามารถเห็นได้ชัดเจน รวดเร็ว และปลอดภัย

ก่อน ฟอกสีฟัน ควรเตรียมตัวอย่างไร ?

  • ควรขูดหินปูนและขัดฟันก่อนฟอกสีฟัน
  • ในกรณีที่มีฟันผุ หรือคอฟันฉีก ควรอุดฟันให้เรียบร้อยก่อนทำการฟอกสีฟัน
  • สามารถใช้ยาสีฟันที่มีส่วนประกอบของโพแทสเซียมไนเตรต (Potassium nitrate) เพื่อลดอาการเสียวฟันได้

ราคาฟอกสีฟัน ประมาณเท่าไหร่ ?

ราคาของการฟอกสีฟัน แตกต่างกันไปตามสถานพยาบาลหรือคลินิกที่เข้ารับการรักษา สำหรับที่ The Tooth Club ราคาในการฟอกสีฟันเริ่มต้นที่ 7,000 บาท ทั้งนี้เราไม่ได้มีบริการฟอกสีฟันเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีโปรโมชั่นร่วมกับบริการอื่นด้วย คนไข้ที่สนใจเข้ารับบริการฟอกสีฟันกับ The Tooth Club สามารถติดต่อเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลย เรายินดีให้คำปรึกษาฟรีแบบไม่มีค่าใช้จ่าย

ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน ?

ผลลัพธ์ของการ ฟอกสีฟัน สามารถคงอยู่ได้ยาวนานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับระดับสีเดิมของฟัน คุณภาพของน้ำยา อุปกรณ์ที่ใช้ และการดูแลรักษาสุขภาพช่องปาก ของแต่ละบุคคลหลังทำการฟอกสีฟัน

หลังฟอกสีฟัน ควรดูแลฟันอย่างไรให้ขาวไปนาน ๆ

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มที่มีสีเข้ม เช่น ชา กาแฟ เป็นต้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หลังจากฟอกสีฟันเป็นเวลา 2 สัปดาห์
  • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และควรแปรงฟันหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง
  • ควรทำความสะอาดฟันด้วยไหมขัดฟัน อย่างน้อยวันละ 1 – 2 ครั้ง
  • พบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอทุก 6 เดือน เพื่อขูดหินปูน และขัดฟัน

คำถามอื่น ๆ เกี่ยวกับการฟอกสีฟัน

  • การฟอกสีฟันใช้เวลานานไหม ?

ตอบ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

  • ฟอกสีฟัน เบิกประกันสังคมได้หรือไม่ ?

ตอบ ไม่สามารถเบิกประกันสังคมได้ เพราะทันตกรรมที่สามารถเบิกประกันสังคมได้ คือ ทันตกรรมเกี่ยวกับการรักษาทางการแพทย์ แต่การฟอกสีฟันจัดอยู่ในกลุ่มทันตกรรมเพื่อความสวยงาม (Esthetics)

  • ฟอกสีฟันแล้วเสียวฟันง่ายขึ้นจริงหรือไม่ ?

ตอบ อาการเสียวฟัน และระคายเคืองเหงือก อาจเป็นผลข้างเคียงหลังจากการฟอกสีฟันเสร็จใหม่ ๆ ซึ่งอาการเหล่านั้นจะหายไปเองภายในเวลา 2 – 3 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยสามารถใช้ยาสีฟันที่มีส่วนประกอบของโพแทสเซียมไนเตรต (Potassium nitrate) เพื่อช่วยลดอาการเสียวฟันได้

  • ฟอกสีฟัน ทำให้เนื้อฟันบางลงไหม ?

ตอบ น้ำยาฟอกสีฟันจะทำปฏิกิริยาเฉพาะกับสีที่สะสมภายในเนื้อฟัน และทำให้สีของฟันขาวสว่างขึ้นเท่านั้น ผิวฟัน และเคลือบฟันจึงยังคงสภาพเดิม ไม่ได้บางลงแต่อย่างใด

  • หากจัดฟันอยู่สามารถ ฟอกสีฟันได้หรือไม่ ?

ตอบ ไม่ได้ เพราะจะทำให้หน้าฟันสีไม่เสมอกัน เนื่องจากการจัดฟันจะติดวัสดุจัดฟัน (Bracket) ไว้ที่ตัวฟัน แนะนำให้ฟอกสีฟันหลังจากหลังจากถอดเหล็กดัดฟันออกแล้วประมาณ 3 – 6 เดือนจะดีกว่า

  • ฟอกสีฟัน เจ็บไหม ?

ตอบ ไม่เจ็บ แต่อาจมีอาการเสียวฟัน เมื่อยปาก และรู้สึกร้อนบริเวณริมฝีปากที่โดนรังสีเล็กน้อย